บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

จักรพรรดิในตำรา


วันนี้ ผมกำลังค้นเกี่ยวกับกายสิทธิ์บ้าง จักรพรรดิบ้าง ไปได้ข้อมูลมาจากเว็บแห่งหนึ่ง เขียนถึงเรื่องจักรพรรดิไว้ ดังนี้

พระเจ้าสาครจักรพรรดิ (พระชาติหนึ่งของพระสมณโคดม) เริ่มออกวาจาปรารถนาพุทธภูมิต่อพระพักตร์พุทธเจ้า

หลังจากที่พระโพธิสัตว์เวียนเกิดตาย  และสั่งสมสร้างบารมี กัปไหนที่เป็นสูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น)

เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ออกบวชเป็นฤาษีบ้าง ดาบสบ้าง นักพรตบ้าง อยู่ในป่า ภาวนาจนสำเร็จปฐมฌาน หลังจากดับสังขารสิ้นอายุขัย ก็ไปอุบัติเป็นพระพรหม เสวยสุขอยู่เป็นเวลา 1 กัป

แล้วจุติจากพรหมโลก เกิดเป็นโอรสของกษัตริย์ ณ ธัญญวดีมหานคร ได้พระนามว่า สาครราชกุมาร เมื่อเจริญวัยขึ้นพระบิดาสวรรคต

สาครราชกุมารก็ได้ สืบราชสมบัติต่อ พระองค์ทรงมีทศพิธราชธรรม ทรงอุตสาหะ ปฏิบัติในจักรพรรดิวัตร

ตามที่เหล่าราชปุโรหิตจารย์ และพระฤาษี กำหนดถวาย และในวันอุโบสถขึ้น 15 ค่ำ ก็จะทรงอุโบสศีล (ศีล 8)  พระองค์ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด

ด้วยเดชะบุญแห่งราชกุศล จึงบันดาลให้ "สัตตรัตนะ" อุบัติเกิดขึ้น คือ

1. จักรแก้ว อันมีมหิทธิ สามารถไปไหนได้ดังใจประสงค์
2. ช้างแก้ว
3. ม้าแก้ว
4. แก้วมนี อันส่องสว่างโชติช่วง
5. นางแก้ว ที่เป็นคู่ของจักรพรรดิ
6. ขุนคลังแก้ว
7. ขุนพลแก้ว

พระองค์จึงทรงเป็นพระจักรพรรดิ ปกครองอาณาจักรทั้งหมดสุดขอบที่มหาสมุทรทั้ง 4 ทิศ  ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าสาครจักรพรรดิ

กาลครั้งนั้น ปรากฏมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ทรงมีพระนามว่า พระปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อพระองค์ตรัสรู้  แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักปปวัตนสูตร  ทำให้ทั่วโลกธาตุ เกิดหวั่นไหว เป็นอัศจรรย์ 

จึงทำให้จักรแก้วของพระสาครจักรพรรดิ ตกลงจากที่ตั้ง ทำให้พระจักรพรรดิตกพระทัยเป็นอย่างมาก 

จึงตรัสถามพระโหราราชครู  พระโหราราชครู กราบทูลว่า เหตุอันทำให้จักรแก้วเลื่อนตกลงไปนั้นมี 2 ประการ คือ

1. เป็นนิมิตแห่งอันตรายต่อพระชนม์ ของพระจักรพรรดิ
2. เป็นนิมิตแห่ง พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก

เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วเหตุที่จะเป็น อันตรายต่อพระชนม์นั้นหามีไม่  จึงเป็นเพียงกรณีเดียวคือ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก แล้วพระโหราราชครู ก็กล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้าอีกมาก 

พระจักรพรรดิพอได้สดับฟังดังนั้นมีพระทัยปีติยินดีอย่างยิ่ง จึงตรัสออกมาว่า  " เราจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในวันนี้ ให้ข้าราชบริภารเตรียมสิ่งของให้พร้อม "

ขณะเดินทางอยู่ ก็คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า จึงมีปีติอย่างมากมาย และด้วยบารมีที่สั่งสมมา เมื่อได้เฝ้าพระพุทธองค์

จึงเกิดดำริในพระทัยว่า "พระพทธเจ้าทรงคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นเอกในไตรโลก ยังสรรพสัตว์ให้ล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ ด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ต่อสรรพสัตว์ 

เราก็มีความปรารถนาล่วงพ้นจากทุกข์ จากภพ แล้วก็จะนำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นด้วย" เพิ่มความมุ่งมั่นในพุทธภูมิยิ่งขึ้น แทนที่จะท้อถอย แล้วก็เสด็จกลับสู่พระนคร

เมื่อกลับถึงพระนคร ทรงรับสั่งให้สร้างปราสาทกุฏิอันเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ด้วยไม่แก่นจันทร์มากมายหลายหลัง ก็คือเป็นการสร้างวัดขึ้นมา

แล้วสร้างที่พระทับของพระพุทธองค์ ทุกอย่างทำด้วยไม้แก่นจันทร์ ครั้นมหาวิหารสำเร็จ พระสาครโพธิสัตว์ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงถวายวิหาร (วัด) แก่พระพุทธองค์ และรับเสด็จมายังมหาวิหาร  ถวายภัตตาหารแด่องค์พระสมเด็จสัมมาพุทธเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์

เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระภิกษุสงฆ์ ทรงอนุโมทนาแล้ว  บัดนั้น พระสาครจักรพรรดิมีใจผ่องแผ้วยินดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าววาจา ปราถนาพุทธภูมิ ต่อพระพักตร์ของพระพุทธองค์ว่า

"ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระองค์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศากยมุนีโคดม เสมอด้วยพระนามของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ"

แล้วกล่าววาจาต่อไปอีกว่า "พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วยังสรรพสัตว์ให้รู้ตาม พระพุทธองค์ทรงพ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ แล้วยังสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ด้วย ข้าพระองค์ก็ขอให้เป็นดั่งพระพุทธองค์นั้นเถิด"

พระปุราณศรีศากยมุนีพุทธเจ้า จึงตรัสว่า

"ดูกรมหาบพิตร การที่จะปรารถนาซึ่งพระพุทธภูมินั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักที่บุคคลจะทำสำเร็จได้ ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจเข็มแข็ง เพียรพยายาม สร้างสมความดี สร้างสมบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่แทบทุกชาติ มหาบพิตรยังคงประสงค์หรือ"

มหาจักรพรรดิ เมื่อได้สดับดังนั้นด้วยกำลังปีติแก่กล้า จงออกพระวาจาว่า " ข้าพระองค์ ขอเพียรพยายามสร้างบารมี แม้ชีวิตจะหาไม่ ก็หาท้อถอย"

พระพุทธองค์ทรงตรวจสอบด้วยสัพพัญญูตาญาณ จึงทราบว่า ปณิธานของพระจักรพรรดิโพธิสัตว์นี้ อีกนานแสนนาน ถึง 12 อสงไขย กับเศษแสนมหากัปจึงจะสำเร็จได้ ดังนั้นพระองค์ทรงให้โอวาทว่า

"ดูกรมหาบพิตร ถ้าพระองค์ประสงค์ปรารถนาโพธิญาณแล้ว จงบำเพ็ญเพียร บารมี 30 ให้ครบบริบูรณ์เถิด"  พระพุทธองค์ทรงแนะนำ แต่หาได้ตรัสพุทธพยากรณ์ไม่

พระสาครจักรพรรดิโพธิสัตว์ เมื่อได้รับพุทธโอวาทดังนั้น ก็มีจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่งนักหนา หลังจากนั้น ทรงมั่นเพียรสร้างบารมี

ในที่สุดก็ทรงออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ชำนาญในพระไตรปีฏก และทรงบำเพ็ญเพียรในสมถกรรมฐาน จนถึงฝั่งอภิญญา ครันเมื่อสิ้นประชนมายุ ก็ขึ้นไปอุบัติบนพรหมโลก

จักรพรรดิมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1) จักรพรรดิที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ เช่น นโปเลียนมหาราช อเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นต้น

จักรพรรดิพวกนี้คือ เป็นกษัตริย์ของประเทศหรือแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แล้วเก่งกล้าสามารถ ปราบประเทศอื่นๆ ไปได้หมด  จึงมีการแต่งตั้งขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ

2) จักรพรรดิที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ  จักรพรรดิประเภทนี้ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้คือ

2.1) จักรพรรดิที่เป็นกายละเอียด  จักรพรรดิประเภทนี้ กำลังสร้างบารมีอยู่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองรักษาพระศาสนา

2.2) จักรพรรดิที่เป็นมนุษย์ แล้วประกาศศาสนา  จักรพรรดิประเภทนี้ สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ และประกาศศาสนาเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า 

ในยุคที่มีจักรพรรดิประกาศศาสนาอยู่นี้ ยุคนั้นจะไม่มีพระพุทธเจ้า

2.3) จักรพรรดิที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็คือ จักรพรรดิประเภทที่ 2.2 ที่ปรินิพพานแล้ว  จักรพรรดิประเภทนี้ ก็ยังทำหน้าที่ดูแลพระศาสนาต่อไป แต่ดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอายตนะนิพพาน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ผู้แต่งคงสับสนในเรื่องที่เกี่ยวกับจักรพรรดิ จึงแต่งออกมาทำนองนี้ แต่คนแต่งก็ยังแต่งได้สอดคล้องกับเหตุการณ์ของพุทธประวัติ

คือ ในชาดกต่างๆ นั้น พระพุทธเจ้าของเราได้รับพยากรณ์ตอนที่เกิดเป็น “สุเมธฤาษี” เรื่องนี้จึงแต่งขึ้นให้เก่าไปกว่าเรื่องสุเมธฤาษี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น